รูปแบบการโจมตีทาง Cyber ที่คุณควรรู้จัก

Thursday, May 9, 2024
13-รปแบบการโจมตทาง-Cyber-ทคณควรรจก_1040x1040-(1).jpg




         ในยุคดิจิทัลที่เราอาศัยการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ภัยคุกคามทางไซเบอร์กลายเป็นปัญหาที่มีความสำคัญและรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เรามักจะคาดหวังว่าปัญหาด้านความปลอดภัยจะไม่เกิดขึ้นกับเราเอง แต่ความเป็นจริงแล้ว ภัยคุกคามทางไซเบอร์มักจะไม่ไกลตัวและอาจเกิดขึ้นกับผู้ใดก็ได้ในทุกช่วงเวลา ในบทความนี้ เราจะสำรวจและอธิบายเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ไม่ไกลตัวและวิธีการป้องกันเพื่อความปลอดภัยของตนเองและข้อมูลส่วนตัวของเราในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยอันตราย

1. มัลแวร์ (Malware)

Malware ย่อมาจาก Malicious Software หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นมาเพื่อสร้างความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรือข้อมูล Malware มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป

ตัวอย่างวิธีการทำงานของ Malware ทั่วไป
 
  • ไวรัส (Virus) ไวรัสจะแทรกตัวเข้าไปในไฟล์โปรแกรม เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ที่ติดไวรัส ไวรัสจะติดต่อตัวเองไปยังไฟล์อื่นๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบ
  • โทรจัน (Trojan) โทรจันจะแฝงตัวมาในรูปแบบของโปรแกรมที่ดูน่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรม โทรจันจะเปิดช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์
  • เวิร์ม (Worm) เวิร์มจะแพร่กระจายตัวเองผ่านเครือข่ายโดยไม่ต้องอาศัยไฟล์อื่น เวิร์มสามารถขโมยข้อมูล หรือทำลายระบบเครือข่าย
  • แรนซัมแวร์ (Ransomware) แรนซัมแวร์จะเข้ารหัสข้อมูลของผู้ใช้และเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อกข้อมูล
  • สปายแวร์ (Spyware) สปายแวร์จะติดตั้งบนระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลบัตรเครดิต

2. ฟิชชิ่ง (Phishing)

เป็นรูปแบบการหลอกลวงผู้ใช้ทางออนไลน์ โดยมักใช้รูปแบบของอีเมล เว็บไซต์ หรือข้อความ เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลทางการเงิน

วิธีการทำงานของ Phishing ทั่วไป
 
  • แอบอ้างเป็นบุคคลหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ มิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นบุคคลหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ เช่น ธนาคาร หน่วยงานราชการ บริษัทขนส่ง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
  • สร้างความเร่งด่วน มิจฉาชีพจะสร้างความเร่งด่วนให้กับผู้ใช้ เช่น แจ้งว่าบัญชีถูกระงับ หรือต้องดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้ผู้ใช้ตัดสินใจโดยไม่ทันคิด
  • หลอกล่อให้คลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์ มิจฉาชีพจะหลอกล่อให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์ที่ติดมัลแวร์ เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์ มัลแวร์จะติดตั้งบนระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้และขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
  • เว็บไซต์ปลอม มิจฉาชีพจะสร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บไซต์จริงขององค์กรที่น่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลส่วนบุคคลบนเว็บไซต์ปลอม ข้อมูลจะถูกส่งไปยังมิจฉาชีพ
     

3. โซเชียลเอ็นจิเนียริง (Social Engineering)

เป็นการหลอกลวงผู้ใช้ด้วยวิธีการทางจิตวิทยา เช่น การโน้มน้าวให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล คลิกลิงก์ที่ติดมัลแวร์ หรือดาวน์โหลดไฟล์ที่ติดมัลแวร์

วิธีการทำงานของ Social Engineering ทั่วไป
 
  • สร้างความไว้วางใจ มิจฉาชีพจะสร้างความไว้วางใจกับผู้ใช้ โดยการแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ หรือสร้างสถานการณ์ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเห็นอกเห็นใจ
  • ใช้แรงกดดัน มิจฉาชีพจะใช้แรงกดดันให้ผู้ใช้ตัดสินใจโดยไม่ทันคิด เช่น แจ้งว่ามีข้อมูลสำคัญ หรือต้องดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด
  • ใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยา มิจฉาชีพจะใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยา เช่น การโน้มน้าว การหลอกล่อ การข่มขู่ เพื่อให้ผู้ใช้ทำตามที่ต้องการ

ตัวอย่างกลยุทธ์ Social Engineering
 
  • การแอบอ้าง: มิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ เช่น พนักงานธนาคาร เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
  • การสร้างสถานการณ์ฉุกเฉิน: มิจฉาชีพจะสร้างสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น แจ้งว่าบัญชีถูกระงับ หรือคอมพิวเตอร์ติดไวรัส เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์
  • การใช้การอุทธรณ์ทางอารมณ์: มิจฉาชีพจะใช้การอุทธรณ์ทางอารมณ์ เช่น การสร้างความเห็นอกเห็นใจ หรือความกลัว เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้ทำตามที่ต้องการ


4. การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MitM)

         เป็นการโจมตีที่ผู้โจมตีแทรกตัวเข้าระหว่างการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ เพื่อดักจับข้อมูล ขโมยข้อมูล หรือปลอมแปลงข้อมูล

การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle ทำงานอย่างไร
 
          การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MitM) เปรียบเสมือนบุคคลที่สามแทรกตัวอยู่ระหว่างการสื่อสารระหว่างสองฝ่าย โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่รู้ตัว ผู้โจมตีสามารถดักจับข้อมูล แก้ไขข้อมูล หรือขัดขวางการสื่อสารระหว่างสองฝ่ายได้


วิธีการทำงานของ MitM

         1.  แทรกตัวอยู่ระหว่างการสื่อสาร ผู้โจมตีจะแทรกตัวอยู่ระหว่างการสื่อสารระหว่างสองฝ่าย โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การปลอมแปลง IP address การสร้าง Wi-Fi ปลอม หรือการใช้ช่องโหว่ของเครือข่าย
         
         2.  ดักจับข้อมูล
ผู้โจมตีสามารถดักจับข้อมูลทั้งหมดที่ส่งผ่านระหว่างสองฝ่าย โดยใช้เครื่องมือดักฟังข้อมูล
       
         3.  แก้ไขข้อมูล
ผู้โจมตีสามารถแก้ไขข้อมูลที่ส่งผ่านระหว่างสองฝ่าย เช่น เปลี่ยนแปลงเนื้อหาของอีเมล หรือปลอมแปลงข้อมูลการโอนเงิน
         
         4.  ขัดขวางการสื่อสาร
ผู้โจมตีสามารถขัดขวางการสื่อสารระหว่างสองฝ่าย เช่น ปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ หรือปฏิเสธการให้บริการ

ตัวอย่างการโจมตีแบบ MitM
 
  • การโจมตี Wi-Fi ปลอม ผู้โจมตีสร้าง Wi-Fi ปลอมที่มีชื่อคล้ายกับ Wi-Fi จริง เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อกับ Wi-Fi ปลอม ผู้โจมตีสามารถดักจับข้อมูลทั้งหมดที่ส่งผ่าน Wi-Fi นั้น
  • การโจมตี HTTPS stripping ผู้โจมตี downgrade การเชื่อมต่อจาก HTTPS เป็น HTTP ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้ารหัสข้อมูลได้ ผู้โจมตีสามารถดักจับข้อมูล username และ password ของผู้ใช้
  • การโจมตี DNS spoofing ผู้โจมตีเปลี่ยนแปลง DNS server ของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้ถูก redirect ไปยังเว็บไซต์ปลอม ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้
 

5. การโจมตีแบบ Zero-Day Attack

          เป็นการโจมตีโดยใช้ช่องโหว่ของระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรือซอฟต์แวร์ ที่ยังไม่มีการแก้ไข ผู้โจมตีมักใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงระบบหรือข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

วิธีการทำงานของ Zero-Day Attack

1. ค้นหาช่องโหว่ แฮ็คเกอร์จะค้นหาช่องโหว่ในซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การวิเคราะห์โค้ด การ fuzzing หรือการใช้เครื่องมือพิเศษ

2. พัฒนา Exploit เมื่อแฮ็คเกอร์พบช่องโหว่ พวกเขาจะพัฒนา Exploit Exploit เป็นโค้ดที่ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เพื่อเข้าถึงระบบของเหยื่อ

3. โจมตีเหยื่อ แฮ็คเกอร์จะใช้ Exploit โจมตีเหยื่อ โดยอาจใช้ช่องทางต่างๆ เช่น อีเมล เว็บไซต์ หรือการติดตั้ง malware

4. ผลลัพธ์ Zero-Day Attack อาจส่งผลร้ายแรงต่อเหยื่อ แฮ็คเกอร์สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ควบคุมระบบ หรือทำลายข้อมูล

ตัวอย่าง Zero-Day Attack:
 
  • การโจมตี WannaCry: WannaCry เป็น ransomware ที่ใช้ช่องโหว่ของ Windows EternalBlue ransomware เข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อกไฟล์
  • การโจมตี Spectre and Meltdown: Spectre and Meltdown เป็นช่องโหว่ของ CPU ที่ทำให้แฮ็คเกอร์สามารถขโมยข้อมูลจากระบบของเหยื่อ
 

6. การโจมตีแบบ Denial-of-Service (DoS)

          เป็นการโจมตีเพื่อทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรือบริการไม่สามารถใช้งานได้ โดยการส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลไปยังระบบเป้าหมาย
 
วิธีการทำงานของ DoS
 
1. ท่วมระบบด้วยข้อมูล ผู้โจมตีจะส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลไปยังระบบเป้าหมาย ทำให้ระบบโอเวอร์โหลดและหยุดทำงาน

2. โจมตีช่องโหว่ของระบบ ผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของระบบเพื่อทำให้ระบบหยุดทำงาน

3. การโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) DDoS เป็นการโจมตีแบบ DoS ที่ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากโจมตีระบบเป้าหมายพร้อมกัน ทำให้ยากต่อการป้องกัน

ตัวอย่างการโจมตีแบบ DoS
 
  • การโจมตีแบบ SYN flood ผู้โจมตีจะส่ง SYN packet จำนวนมหาศาลไปยังระบบเป้าหมาย ทำให้ระบบโอเวอร์โหลดและหยุดทำงาน
  • การโจมตีแบบ Ping of Death ผู้โจมตีจะส่ง ICMP packet ขนาดใหญ่ไปยังระบบเป้าหมาย ทำให้ระบบหยุดทำงาน
  • การโจมตีแบบ HTTP flood ผู้โจมตีจะส่ง HTTP request จำนวนมหาศาลไปยังเว็บไซต์เป้าหมาย ทำให้เว็บไซต์หยุดทำงาน
 

7. การโจมตีแบบ SQL Injection

 
เป็นการโจมตีเพื่อขโมยข้อมูลหรือแก้ไขข้อมูลในฐานข้อมูล โดยการแทรกโค้ด SQL ลงในช่องป้อนข้อมูลของเว็บแอปพลิเคชัน
 
       การโจมตีแบบ SQL Injection ทำงานอย่างไร
 
         การโจมตีแบบ SQL Injection เป็นการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่ฐานข้อมูล SQL โดยผู้โจมตีจะแทรกคำสั่ง SQL ที่เป็นอันตรายเข้าไปในช่องป้อนข้อมูลของเว็บแอปพลิเคชัน
  • วิธีการทำงานของ SQL Injection
  • ช่องโหว่ เว็บแอปพลิเคชันมีช่องโหว่ที่ผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูล SQL เข้าไปในระบบโดยไม่ได้ตรวจสอบ
  • แทรกคำสั่ง SQL ผู้โจมตีจะแทรกคำสั่ง SQL ที่เป็นอันตรายเข้าไปในช่องป้อนข้อมูล
  • ดำเนินการคำสั่ง เว็บแอปพลิเคชันจะดำเนินการคำสั่ง SQL ที่เป็นอันตราย ทำให้ผู้โจมตีสามารถ
    • ดึงข้อมูลส่วนตัว
    • แก้ไขข้อมูล
    • ลบข้อมูล
    • ควบคุมฐานข้อมูล

ตัวอย่างการโจมตีแบบ SQL Injection
 
  • การดึงข้อมูล ผู้โจมตีสามารถแทรกคำสั่ง SQL เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
  • การแก้ไขข้อมูล ผู้โจมตีสามารถแทรกคำสั่ง SQL เพื่อแก้ไขข้อมูลในฐานข้อมูล เช่น เปลี่ยนรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ
  • การลบข้อมูล ผู้โจมตีสามารถแทรกคำสั่ง SQL เพื่อลบข้อมูลในฐานข้อมูล
  • การควบคุมฐานข้อมูล ผู้โจมตีสามารถแทรกคำสั่ง SQL เพื่อควบคุมฐานข้อมูลทั้งหมด
 

8. การโจมตีแบบ Cross-Site Scripting (XSS)

          เป็นการโจมตีเพื่อแทรกโค้ด JavaScript ลงในเว็บเพจ เพื่อขโมยข้อมูลของผู้ใช้หรือควบคุมการทำงานของเว็บเบราว์เซอร์

วิธีการทำงานของ XSS
  1.  ช่องโหว่ เว็บแอปพลิเคชันมีช่องโหว่ที่ผู้ใช้สามารถป้อนโค้ด JavaScript เข้าไปในระบบโดยไม่ได้ตรวจสอบ
  2. แทรกโค้ด JavaScript ผู้โจมตีจะแทรกโค้ด JavaScript ที่เป็นอันตรายเข้าไปในช่องป้อนข้อมูล เช่น เว็บบอร์ด หรือช่องแสดงความคิดเห็น
  3. ดำเนินการโค้ด เมื่อผู้ใช้คนอื่นเข้าดูเว็บเพจ โค้ด JavaScript ที่เป็นอันตรายจะทำงานบนเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ ทำให้ผู้โจมตีสามารถ
  • ขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น Cookie, รหัสผ่าน
  • ควบคุมการทำงานของเว็บแอปพลิเคชัน
  • แสดงเนื้อหาที่เป็นอันตราย

ตัวอย่างการโจมตีแบบ XSS:
  • การขโมย Cookie ผู้โจมตีสามารถแทรกโค้ด JavaScript เพื่อขโมย Cookie ของผู้ใช้ ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อสวมรอยเป็นผู้ใช้
  • การควบคุมเว็บแอปพลิเคชัน ผู้โจมตีสามารถแทรกโค้ด JavaScript เพื่อควบคุมการทำงานของเว็บแอปพลิเคชัน เช่น เปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย
  • การแสดงเนื้อหาที่เป็นอันตราย ผู้โจมตีสามารถแทรกโค้ด JavaScript เพื่อแสดงเนื้อหาที่เป็นอันตราย เช่น โฆษณา หรือข้อความหลอกลวง
 

9. การโจมตีแบบ Botnet

เป็นการโจมตีโดยใช้คอมพิวเตอร์ที่ติดมัลแวร์จำนวนมากเพื่อโจมตีระบบเป้าหมาย

วิธีการทำงานของ Botnet:
  1. การติดมัลแวร์ แฮกเกอร์จะติดมัลแวร์บนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน อุปกรณ์ IoT
  2. สร้าง Botnet แฮกเกอร์จะสร้างเครือข่ายอุปกรณ์ที่ติดมัลแวร์ (Botnet)
  3. ควบคุม Botnet แฮกเกอร์จะควบคุม Botnet ผ่าน Command and Control (C&C) server
  4. โจมตีเป้าหมาย แฮกเกอร์จะสั่งให้ Botnet โจมตีเป้าหมาย เช่น เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์

ตัวอย่างการโจมตีแบบ Botnet
  • การโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS): Botnet จะส่ง traffic จำนวนมากไปยังเว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถให้บริการได้
  • การโจมตีแบบ Brute-force: Botnet จะลองรหัสผ่านต่างๆ เพื่อเข้าถึงระบบ
  • การโจมตีแบบ Spam: Botnet จะส่ง spam ไปยังอีเมล์หรือเว็บไซต์
 

10. การโจมตีแบบ Ransomware

         Ransomwareเป็นมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่เข้ารหัสไฟล์บนอุปกรณ์ของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ได้ ผู้โจมตีจะเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกไฟล์

วิธีการทำงานของ Ransomware

1. การติดมัลแวร์ ผู้โจมตีจะติดมัลแวร์บนอุปกรณ์ของเหยื่อโดยใช้หลายวิธี เช่น:
  • อีเมล phishing
  • เว็บไซต์ที่เป็นอันตราย
  • โฆษณาที่เป็นอันตราย
  • ช่องโหว่ของซอฟต์แวร์
 


2. การเข้ารหัสไฟล์ มัลแวร์จะเข้ารหัสไฟล์บนอุปกรณ์ของเหยื่อ

3. การเรียกค่าไถ่ ผู้โจมตีจะแสดงข้อความเรียกค่าไถ่ แจ้งจำนวนเงินและวิธีการชำระเงินเพื่อแลกกับการปลดล็อกไฟล์

4. การปลดล็อกไฟล์
  • ไม่แนะนำ ไม่ควรจ่ายค่าไถ่ ผู้โจมตีอาจไม่ปลดล็อกไฟล์ หรืออาจติดมัลแวร์เพิ่มเติม
  • การสำรองข้อมูล หากมีการสำรองข้อมูล ผู้ใช้สามารถกู้คืนไฟล์จากสำรองข้อมูล
  • เครื่องมือถอดรหัส มีเครื่องมือถอดรหัสบางตัวที่สามารถถอดรหัสไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสโดย Ransomware บางประเภท

ตัวอย่าง Ransomware
  • WannaCry Ransomware นี้ใช้ช่องโหว่ของ Windows EternalBlue เข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และเรียกค่าไถ่
  • Locky Ransomware นี้เข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และเรียกค่าไถ่ Bitcoin
  • CryptoLocker Ransomware นี้เข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และเรียกค่าไถ่ Bitcoin
 

และนี้คือแนวทางป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่คุณสามารถทำได้

  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและอัปเดตให้ทันสมัยอยู่เสมอ
 
  • ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายากและไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันกับหลายเว็บไซต์
 
  • ระมัดระวังในการเปิดอีเมล เว็บไซต์ หรือข้อความจากแหล่งที่ไม่รู้จัก
 
  • ไม่คลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
 
  • อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการให้ทันสมัยอยู่เสมอ
 
  • สำรองข้อมูลสำคัญไว้เป็นประจำ
 
  • เรียนรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และวิธีป้องกัน
 
 


ติดต่อสอบถามขอรายละเอียดสินค้าที่ VSM365
ศูนย์รวมซอฟต์แวร์ที่ได้รับการคัดสรรมาเพื่อธุรกิจและองค์กรของคุณ ได้ที่

Email : [email protected]
Line : http://line.me/ti/p/~@vsm365
Inbox : https://m.me/vsm365
Youtube : https://www.youtube.com/vsm365
Spotify : https://spoti.fi/3pBhF2c
Blockdit : https://www.blockdit.com/vsm365
ดูสินค้าเพิ่มเติม : www.vsm365.com/th/Store
ทดลองใช้โปรแกรม : www.vsm365.com/th/Contact
ขอใบเสนอราคา : www.vsm365.com/th/Contact
ติดต่อฝ่ายขาย :

Tags:
 

แชร์บทความของเรา

VIEWS
1686

All

Lastest Article

1686

บทความแนะนำ