Sophos ได้ผสมผสานเอา 2 เทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันคือ Intercept X for Server และ Endpoint Detection and Respond (EDR) เพื่อตอบสนองในการค้นหาและจัดการภัยคุกคามได้อย่างครอบคลุมครบวงจร
Intercept X คือชื่อของ Endpoint Protection จาก Sophos ตัวผลิตภัณฑ์จะมีการตรวจจับพฤติกรรมอันตรายแบบ Behavior-based แทน Signature-based ซึ่ง Intercept X ยังมีฟีเจอร์ที่ครอบคลุม เช่น Anti-ransomware, Anti-Exploit, Root Cause Analysis เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับโซลูชันบน Firewall ของตัวเองได้ด้วย เช่น สั่งให้บล็อกในระดับเครือข่าย ไม่เพียงแค่นั้นยังสามารถบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ด้วยแพลตฟอร์มที่ชื่อ Sophos Central ได้ด้วย
Intercept X for Server ก็คือโซลูชันที่ต่อยอดจาก Intercept X ที่โฟกัสไปในการปกป้องฝั่งเซิร์ฟเวอร์มากขึ้นเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์มีความสำคัญและต้องออนไลน์ตลอดเวลา โดย Sophos โฆษณาถึงความสามารถ เช่น Deep Learning หรือการปกป้อง MBR
Endpoint Detection and Respond (EDR) ประกอบด้วยความสามารถ 4 ด้านคือ
1) ตรวจจับเหตุการณ์ Incident
2) จำกัดเหตุการณ์ incident ที่ Endpoint
3) สืบสวนเหตุการณ์ Incident
4) ต้องแนะนำการทำ Remediation ได้
อย่างไรก็ตาม EDR จากแต่ละ Vendor นั้นมีความสามารถไม่เท่ากันทั้งหมด สำหรับ Sophos เองชี้ว่า EDR ออกแบบมาเพื่อตรวจจับเหตุการณ์น่าสงสัยและเกิดประโยชน์กับผู้ใช้ดังนี้
- สามารถค้นหา Indicator of Compromise (IoC) ในเครือข่ายได้
- ลำดับความสำคัญของเหตุการณ์เพื่อสืบสวนต่อไป
- วิเคราะห์เพื่อค้นหาว่าเป็นภัยคุกคามหรือเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการเท่านั้น
- ตอบโจทย์ Compliance ในเหตุการณ์รั่วไหลได้
ด้วยเหตุนี้เองการผสาน Intercept X for Server และ EDR จึงทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการภัยคุกคามชั้นแรกด้วย Intercept X for Server จนเหลือน้อยก่อน เมื่อเหลือส่วนที่ตัดสินไม่ได้ EDR จะเข้ามาช่วยสืบสวนและจัดหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงสามารถป้องกันภัยคุกคามได้อย่างครอบคลุม